Posted by : Unknown
วันอาทิตย์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560
ความรู้แบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ
ความรู้อาจแบ่งเป็น 2 ประเภท
คือ
1. ความรู้ที่ชัดแจ้ง
(Explicit
Knowledge) เป็นความรู้ที่เป็นเหตุเป็นผล
ผ่านการวิเคราะห์
สังเคราะห์จนเป็นหลักทั่วไป
ไม่ขึ้นอยู่กับบริบทใดโดยเฉพาะ
สามารถรวบรวมและถ่ายทอดออกมาใน
รูปแบบต่างๆ
ได้
เช่น
หนังสือ
คู่มือ
เอกสารและรายงานต่างๆ
ซึ่งทำให้คนสามารถเข้าถึงได้ง่าย
เป็น
ความรู้ที่ไม่ค่อยสำคัญต่อความได้เปรียบในการแข่งขันเพราะใครๆ
ก็เข้าถึงได้
2. ความรู้ที่ฝังในตัวคน
(Tacit
Knowledge) เป็นความรู้ที่อยู่ในตัวของแต่ละบุคคล
อาจอยู่ในใจ
(ความเชื่อ ค่านิยม)
อยู่ในสมอง
(เหตุผล) อยู่ในมือและส่วนอื่นๆ
ของร่างกาย
(ทักษะ) เกิดจาก
ประสบการณ์การเรียนรู้
หรือพรสวรรค์ต่างๆ
ซึ่งขึ้นอยู่กับบริบทใดบริบทหนึ่งโดยเฉพาะ
สื่อสารหรือ
ถ่ายทอดในรูปของตัวเลข
สูตร
หรือลายลักษณ์อักษรได้ยาก
พัฒนาและแบ่งปันกันได้
เป็นความรู้ที่ก่อให้เกิด
ความได้เปรียบในการแข่งขัน
ความรู้ในองค์กรส่วนใหญ่จะเป็นความรู้ที่ฝังในตัวคน
เปรียบเทียบเป็นอัตราส่วนกับความรู้ที่ชัดแจ้ง อาจได้เป็น 80
: 20 ซึ่งเปรียบเทียบได้กับภูเขาน้ำแข็ง ส่วนที่โผล่พ้นน้าขึ้นมาเปรียบเสมือนความรู้ที่ชัดแจ้ง
เป็นส่วนที่น้อยมาก ประมาณ 20 % ของทั้งหมด
ในขณะที่ส่วนที่จมอยู่ใต้น้ำ ซึ่งเปรียบเสมือนความรู้ที่ฝัง ในตัวคน
เป็นส่วนที่ใหญ่มาก ประมาณ 80 % ของทั้งหมด (ดังภาพด้านล่าง)
การเปรียบเทียบความรู้ที่ชัดแจ้ง
กับความรู้ที่ฝังอยู่ในคน (ที่มา:
คู่มือการจัดการความรู้ กรมควบคุมโรค พ.ศ. 2557)
การปรับเปลี่ยนและการสร้างความรู้ทั้งสองประเภทนี้เกิดขึ้นได้
4
รูปแบบ ดังนี้
1. Socialization (S) การแบ่งปันและสร้าง Tacit
Knowledge จาก Tacit Knowledge ของผู้ ที่สื่อสารระหว่างกันโดยการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ตรง
เช่น หัวหน้างานสอนงานให้ลูกน้อง ด้วยการ พูดคุย ทำให้ดู อาจให้ลูกน้องลองทำด้วย
ลูกน้องก็ได้รับความรู้จากหัวหน้างาน บางทีความรู้ใหม่ก็เกิดขึ้น จากการสอนงานนี้ด้วย
2. Externalization (E) การแปลง Tacit
Knowledge ให้กลายเป็น Explicit Knowledge เช่น
ลูกน้องเมื่อเรียนรู้วิธีทำงานจากหัวหน้าแล้ว
จดบันทึกความรู้หรือเขียนเป็นรายงานความรู้ คนอื่นๆ ก็ สามารถใช้เป็นแหล่งความรู้ต่อไป
3. Combination (C) การสร้าง Explicit
Knowledge จาก Explicit Knowledge ด้วยการ รวบรวมความรู้ประเภท
Explicit Knowledge จากแหล่งต่างๆ มาสร้างเป็น Explicit
Knowledge ใหม่ๆ เพื่อนำมาใช้ในการทำงาน เช่น หัวหน้างานท
าการรวบรวมความรู้จากแหล่งต่างๆ ทั้งนอกและในองค์กร รวมทั้งความรู้ที่มีอยู่เดิมมาสรุปเป็นความรู้ใหม่และเผยแพร่
หรือทำการเรียบเรียงความรู้จากภาษา ต่างประเทศ
4. Internalization (I) การแปลง Explicit
Knowledge มาเป็น Tacit Knowledge โดยการ น
าความรู้เชิงทฤษฎีไปสู่การปฏิบัติงาน ทำให้เกิดความรู้เพิ่ม เช่น
หัวหน้างานค้นคว้าศึกษาวิธีทำงานจาก เอกสารต่างๆ นำมาปรับใช้กับงานของตนเองจนเกิดทักษะและความชำนาญในเรื่องนั้น
เกิดเป็น Tacit 9 Knowledge ของตน
ซึ่งสามารถจะบันทึกออกมาเป็นลายลักษณ์อักษร (Externalization) หรือแลกเปลี่ยน กับคนอื่นๆ (Socialization) ต่อไป เมื่อดำเนินการปรับเปลี่ยนและสร้างความรู้
2 ประเภทนี้ไปจนครบรอบ Socialization –
Externalization – Combination – Internalization ความรู้จะสูงขึ้นอีกระดับหนึ่ง
สี่กระบวนการนี้ สามารถเกิดต่อไปได้เรื่อยๆ ทำให้ความรู้ในองค์กรสูงขึ้นอย่างไม่สิ้นสุด
มีลักษณะเป็นเกลียวความรู้ (Knowledge Spiral) นิยมเรียกว่า SECI
model (ดังภาพ)
ลักษณะเกลียวความรู้ (Knowledge
Spiral) หรือ SECI model
แหล่งที่มา สำนักงานสนับสนุนการจัดการความรู้ กรมอนามัย
http://www.okmd.or.th/upload/pdf/chapter1_kc.pdf